เว็บบล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนวิชาการเมืองและการปกครอง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เซียนน้ำมันฟันธง ปี"51ราคายังแพง

เซียนน้ำมันฟันธง ปี"51ราคายังแพง ใครจะคาดคิดว่าปี"50 ราคาน้ำมันตลาดโลกจะพุ่งถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากต้นปีราคาน้ำมันดิบอยู่แค่ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปดีเซลและเบนซินอยู่ที่ 60-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เผลอแป๊บเดียวราคาน้ำมันดิบทะลุ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลไปตั้งแต่เดือนต.ค.50 ส่วนน้ำมันดิบจ่อ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันที่ถึงจุด 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สร้างความตกใจให้กับคนไทยไม่น้อย และยังไม่ทันที่คนไทยจะหายตกใจ นายฮิวโก้ ชาเวซ ประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา ขู่ว่าหากสหรัฐโจมตีอิหร่านจะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงถึง 200 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เมื่อคิดเป็นราคาน้ำมันในไทยน่าจะอยู่ที่ 60-70 บาท/ลิตร ส่วนแนวโน้มน้ำมันในปี "หนูทอง" จะเป็นอย่างไร ติดตามจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานน้ำมันแพงรอบ 150 ปีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน มองว่าราคาน้ำมันในปีหน้าจะยังสูงต่อไป เนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก(โอเปก) พอใจราคาน้ำมันดิบที่ 90-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยระบุไว้ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คงต้องติดตามว่าในการประชุมช่วงเดือนก.พ.51 โอเปกจะยืนยันที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีกหรือไม่ภาพรวมของสถานการณ์น้ำมันในปี"51 คงไม่ดีนักราคาจะยังผันผวนค่อนข้างสูง สิ่งสำคัญคือการผลิตของกลุ่มโอเปก ซึ่งเมื่อปีก่อนหน้านี้โอเปกลดกำลังการผลิตไป1.2 ล้านบาร์เรล/วัน และในปี"50 เพิ่มกลับมาให้เพียง 5 แสนบาร์เรล/วัน หากราคาน้ำมันลดต่ำกลุ่มโอเปกจะลดกำลังการผลิตเพื่อดันราคาให‰สูงขึ้นมา ขณะนี้กำลังการผลิตน้ำมันในหลายประเทศลดลง การพัฒนาแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ทำได้ยากขึ้น ดังนั้นประเทศที่มีแหล่งน้ำมันของตัวเองจึงต้องทำให้ราคาแพงเข้าไว้ เพื่อหารายได้ให้มากที่สุด เก็บเงินเอาไว้ใช้ในช่วงที่ไม่สามารถผลิตน้ำมันได้อีก หากดูปริมาณสำรองน้ำมันทั้งโลกมีแค่ 3 ประเทศที่มีสำรองมาก คือ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน อิรัก ส่วนประเทศอื่นๆ ปริมาณสำรองลดลงจนแทบไม่เหลือแล้ว "กลุ่มประเทศโอเปกต้องการให้ราคาน้ำมันสูง เพราะมั่นใจว่าคงไม่มีเชื้อเพลิง ชนิดใดมาทดแทนน้ำมันได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งราคาน้ำมันเป็นสิ่งที่คาดการณ์ยาก เมื่อปีก่อนก็มีคนบอกว่าราคาน้ำมันแพงที่สุดแล้ว แต่ปี"50 แพงกว่าเสียอีก หากถ้าเทียบกับเงินเฟ้อแล้ว ราคาน้ำมันปี"50 แพงสุดรอบ 150 ปี ส่วนในปี"51 หากเกิดสงครามโอกาสคงถึง 200 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล" นายปิยสวัสดิ์กล่าวสำหรับราคาขายปลีกในไทย แม้จะทำลายสถิติสูงสุด(นิวไฮ) ทั้งเบนซินและดีเซลมาแล้วหลายครั้ง แต่หากดูราคาเฉลี่ยทั้งปี ราคาเบนซินและดีเซลเฉลี่ยปีนี้ยังต่ำกว่าปีที่แล้ว และคนไทยมีทางเลือกในการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยมีทั้งแก๊สโซฮอล์ที่ถูกกว่าเบนซินถึง 4 บาท/ลิตร ไบโอดีเซล 5% (บี5) ที่ถูกกว่าดีเซล 1 บาท/ลิตร ซึ่งต่างจากปี"49 ที่ไม่มีพลังงานทางเลือกอื่นๆ วิธีรับมือน้ำมันแพง คือลดการใช้น้ำมันลงในระยะยาว อาทิ สนับสนุนพลังงานทดแทน การเสาะหาแหล่งพลังงานในไทย รัฐไม่ควรใช้วิธีชดเชยราคา เพราะการชดเชยที่ผ่านมาเป็นหนี้เกือบ 1 แสนล้านบาท และต้องมาใช้หนี้อีกหลายปี ถ้าใช้วิธีชดเชยราคาก็ต้องทำไปตลอด พอน้ำมันแพงทีไร คนไทยคิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแล ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องและจะทำให้มีผลกระทบระยะยาว หมดโอกาส 20 บาท/ลิตรนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาน้ำมันดิบปี"51 ว่าจะทรงตัวในระดับ 80-90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สำเร็จรูปอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกเบนซินอยู่ที่ 32-33 บาท/ลิตร ดีเซล 28 บาท/ลิตร คนไทยคงหมดโอกาสใช้ราคาน้ำมันถูกแค่ 20 บาท/ลิตรแล้ว คงต้องติดตามเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆ ทั้งเรื่องสงคราม อุบัติเหตุในแหล่งผลิตน้ำมัน และการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันที่ล้วนเป็นปัจจัยทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้น และกระทบกับไทยในฐานะที่ต้องนำเข้าน้ำมันปีละมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของมูลค่าจีดีพี"ปี"50 เป็นปีที่เหนื่อยมาก ราคาน้ำมันขึ้นไม่หยุด สาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้น้ำมันของจีน และสหรัฐที่สูงมาก คาดว่าปี"51 ความต้องการใช้น้ำมันสูงถึง 1.3% แต่การผลิตมีจำกัด ซึ่งจะเป็นแรงกดดันทำให้ราคาสูงต่อไป" นายประเสริฐ กล่าว แฉคนไทยใช้เปลืองด้านนายอนนต์ สิริแสงทักษิณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์ และพัฒนาองค์กร ปตท. กล่าวถึงการประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญน้ำมันจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเมื่อช่วงปลายปี"50ว่า ในที่ประชุมฟันธงว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกคงไม่ปรับลดลงกว่าในปัจจุบัน เพราะการขุดน้ำมันขึ้นมาขายนั้นยากขึ้น เจ้าของบ่อน้ำมันเริ่มหวงแหนทรัพยากรของตัวเอง และต้องการให้น้ำมันแพง จึงไม่ค่อยพัฒนาแหล่งน้ำมันใหม่ขึ้นมาไทยเองยังเป็นประเทศที่ใช้พลังงานเปลืองกว่าประเทศอื่นๆ มากเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับรายได้ของประชากร ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมี แหล่งพลังงานเป็นของตัวเอง ดังนั้นคงถึงเวลาแล้วที่ต้องเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาพลังงาน วิธีการที่ดีสุดคือลดการอุดหนุนด้านราคาลง ลุ้นน้ำมันถูกช่วงต้นปี"51ด้านบริษัทน้ำมันต่างชาติ นายธีรพจน์ วัชราภัย ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์ในประเทศไทย จำกัด ระบุว่าจากการพูดคุยกับผู้บริหารเชลล์มองว่าในช่วง 2 เดือนแรกของปี"51 น้ำมันดิบอาจลดลงไปอยู่ที่ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สำรองน้ำมันของประเทศสหรัฐมีมากเพียงพอแล้วจึงไม่ต้องซื้อน้ำมันเพิ่มอีกแต่ถ้าผ่านพ้นช่วงต้นปีไปแล้วคาดว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะกลับมาอยู่ในระดับสูงอีกครั้ง แต่คงไม่ปรับฐานจาก 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ไปอยู่ที่ 150 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะเศรษฐกิจโลกคงรับไม่ได้ช่วงที่ราคาน้ำมันแพงอย่างนี้ สิ่งที่คนไทยต้องปรับตัวคือ ระยะสั้นคือต้องย้อนกลับมาดูพฤติกรรมในการใช้น้ำมันของตัวเองว่าใช้น้ำมันอย่างไร วิธีการที่จะลดการใช้น้ำมันลงคือวางแผนการเดินทางให้ดี ไม่บรรทุกของหนัก ดูแลอุปกรณ์ในรถยนต์เพื่อให้ประหยัดน้ำมัน ส่วนในระยะปานกลางและระยะยาวต้องอยู่ที่นโยบายรัฐบาล ขณะนี้มีเรื่องพลังงานทดแทน ไบโอดีเซลและแก๊สโซฮอล์ ที่แม้จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้บ้าง แต่ก็เป็นปริมาณที่ไม่มากนัก สิ่งที่จะได้ผลเร็วคือการปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน เร่งรัดระบบราง นำรถไฟฟ้ามาใช้ให้เร็วที่สุด ปรับปรุงระบบรถไฟในต่างจังหวัด เพื่อสนับสนุนให้คนไทยใช้ระบบรางให้มากสุดหลากหลายความเห็นต่อสถานการณ์น้ำมันปี"51 ที่มองเห็นสอดคล้องกันว่าสถานการณ์จะรุนแรงต่อไป คนไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือน้ำมันแพง ด้วยการประหยัด และใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มองว่าประเด็นสำคัญที่ราคาน้ำมันแพง คงไม่ได้มาจากกำลังการผลิตในกลุ่มโอเปกเพียงประเด็นเดียว แต่ขณะนี้กองทุนเก็งกำไร(เฮดจŒฟันด์) เข้ามาซื้อขายน้ำมันเพื่อทำกำไรกันมากขึ้นที่น่ากลัวคือผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปกบางประเทศนำเงินจากการขายน้ำมันมาซื้อน้ำมันเพื่อเก็งกำไรในลักษณะการปั่นราคาน้ำมันให้สูงขึ้น ดังนั้นราคาน้ำมันในปีนี้จึงปรับฐานจาก 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และในปีหน้าคาดว่าจะปรับฐานไปอยู่ที่ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลสิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการคือในเรื่องพลังงานทดแทน และตั้งเป้าไปเลยว่า "ไทยจะเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนของเอเชีย" ขณะนี้ไทยใช้พลังงานทดแทนเพียง 0.9% ในขณะที่มีศักยภาพ 10-14% แม้ว่าจะเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก เพราะแต่ละปีไทยนำเข้าพลังงานในภาพรวมเป็นเงินถึง 1 ล้านล้านบาท แต่หากทำได้ 10% จะช่วยลดการนำเข้าลง 1 แสนล้านบาท แม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มากก็ยังดีกว่าต้องพึ่งพาน้ำมันที่มีราคาแพงเกือบทั้งหมดการใช้พลังงานทดแทนนอกจากจะช่วยลดผลกระทบปัญหาน้ำมันแพงแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น จับตา 6 ปัจจัยเสี่ยงสˆวนนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน มองว่า ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมันช่วงปี"51 มีอยู่ 6 ปัจจัยหลัก คือ 1.ปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปก ซึ่งคงต้องติดตามในช่วงเดือนก.พ.51 ว่าโอเปกจะปรับเพิ่มโควตาน้ำมันหรือไม่ 2.ค่าเงินสหรัฐคงต้องติดตามว่าจะอ่อนตัวลงไปในระดับใด เพราะถ้าค่าเงินอ่อนตัวลงโอเปกจะดันราคาให้สูงขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากค่าเงินอ่อนตัว3.ต้องติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่เป็นแหล่งน้ำมันของโลกว่าจะมีเหตุการณ์ใดปะทุขึ้นมาอีกหรือไม่ 4.สภาพอากาศในแถบยุโรป และสหรัฐว่าจะหนาวเย็นเพียงใด หากหนาวมากก็ต้องการน้ำมันเพื่อไปทำความอบอุ่นมาก ราคาน้ำมันก็จะแพง 5.กลุ่มเฮดจŒฟันด์ที่จะเข้ามาเก็งกำไรน้ำมัน 6.เศรษฐกิจในประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ อาทิ สหรัฐ จีน อินเดียไทยเดินมาถูกทางแล้วในการสนับสนุนให้คนไทยใช้พลังงานทดแทน แต่การเร่งส่งเสริมต้องบริหารจัดการให้ดี ดูปริมาณการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ ไม่ควรปล่อยให้เอทานอลล้นตลาด แต่ไบโอดีเซลขาดตลาดเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้กลุ่มโอเปกตัวการปั่นราคานายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มองว่าประเด็นสำคัญที่ราคาน้ำมันแพง คงไม่ได้มาจากกำลังการผลิตในกลุ่มโอเปกเพียงประเด็นเดียว แต่ขณะนี้กองทุนเก็งกำไร(เฮดจŒฟันด์) เข้ามาซื้อขายน้ำมันเพื่อทำกำไรกันมากขึ้นที่น่ากลัวคือผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปกบางประเทศนำเงินจากการขายน้ำมันมาซื้อน้ำมันเพื่อเก็งกำไรในลักษณะการปั่นราคาน้ำมันให้สูงขึ้น ดังนั้นราคาน้ำมันในปีนี้จึงปรับฐานจาก 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และในปีหน้าคาดว่าจะปรับฐานไปอยู่ที่ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลสิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการคือในเรื่องพลังงานทดแทน และตั้งเป้าไปเลยว่า "ไทยจะเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนของเอเชีย" ขณะนี้ไทยใช้พลังงานทดแทนเพียง 0.9% ในขณะที่มีศักยภาพ 10-14% แม้ว่าจะเป็นปริมาณที่ไม่มากนัก เพราะแต่ละปีไทยนำเข้าพลังงานในภาพรวมเป็นเงินถึง 1 ล้านล้านบาท แต่หากทำได้ 10% จะช่วยลดการนำเข้าลง 1 แสนล้านบาท แม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มากก็ยังดีกว่าต้องพึ่งพาน้ำมันที่มีราคาแพงเกือบทั้งหมดการใช้พลังงานทดแทนนอกจากจะช่วยลดผลกระทบปัญหาน้ำมันแพงแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น

จากหนังสือพิมพ์ ข่าวสดรายวัน ปีที่ 17 ฉบับที่ 6241

6 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถึงราคาน้ำมันจะแพงขึ้นอย่างไร

เราก็ต้องใช้เชื้อเพลิงเพื่อการคมนาคมและการขนส่ง

แต่ในปัจจุบันและอนาคตก็คงจะมีพลังงานทดแทนมา
ให้คนไทยได้ใช้กัน

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

น้ำมันแพงจัง แต่มันก็จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เราต้องใช้อย่างประหยัดแล้ว

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เมื่อไรน้ำมันจะถูกลงกว่านี้นะ รายได้น้อย แต่รายจ่ายสูง คนไทยเครียด

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ปัจจุบัน น้ำมันยังแพงขนาดนี้ แล้วอนาคตละ พวกเราจะเป็นอย่าง ถึงจะมีพลังงานอื่นมาทดแทนก็เถอะ ปัญหานี้มันแก้ยากจัง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ปัญหาคือรัฐบาลไทยขาดวิสัยทัศน์มาแต่ไหนแต่ไร สนใจแต่ผลประโยชน์ตัวเอง ถ้าปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน สร้างรถไฟฟ้าเพิ่มซะตั้งนานแล้ว เราคงไม่ต้องเดือดร้อนขนาดนี้หรอก ทุกวันนี้อยากจอดรถไว้บ้าน แต่ไม่รู้จะไปทำงานยังไง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

แปลกอยู่เหมือนกัน ราคาน้ำมันขึ้นจนน่าตกกะใจ แต่รัฐบาลไม่ยักจะรณรงค์ หรือหาทางแก้ สนใจกันแต่ไอ้เรื่องรัฐธรรมนูณเนี่ย คนจนจะตายอยู่แล้ว

ข้าวของแพงขึ้นอย่างน่าใจหาย พวกท่านมีเงินซื้อกิน แต่คนจนลำบากโว้ย